ก่อนซื้อต้องรู้!!! การเลือก ปั๊มลมลูกสูบ ให้เหมาะสมกับการใช้งาน

ปั๊มลม เป็นเครื่องมือ(เครื่องจักร)ที่สำคัญในงานสายช่างมากๆ ไม่ว่าจะเป็นผู้รับเหมา ช่างซ่อม อู่รถ ไปจนกระทั่งมีติดบ้านไว้สำหรับ DIY แบบทั่วไป แต่เดี๋ยวก่อน ก่อนที่เราจะซื้อปั๊มลมได้นั้นเราก็ต้องมาทำความรู้จักกับปั๊มลมกันก่อน เพราะปั๊มลมก็มีหลาย ขนาดหลายแบบ หลายประเภท มีความเหมาะสมกับการใช้งานแตกต่างกันไปแต่ละชนิด วันนี้ทาง Puma Air compressor Thailand จึงจะมาแนะนำข้อมูลเกี่ยวกับ ปั๊มลมยอดฮิตที่สามารถใช้งานได้หลากหลายตั้งแต่งานช่างแบบจัดหนัก ไปจนถึงสาย DIY ที่บ้านก็สามารถใช้ได้แบบง่ายๆเลยทีเดียว สิ่งนั้นก็คือ ปั๊มลมลูกสูบ(PISTON COMPRESSOR) นั่นเอง

ปั๊มลมลูกสูบ คือ เครื่องอัดลมแบบใช้ลูกสูบเป็นตัวสร้างแรงดัน เป็นปั๊มลมที่สามารถพบเห็นได้ตามร้านขายอุปกรณ์ทั่วไป มีราคาไม่แพง มีขนาดให้เลือกใช้งานหลากหลาย จึงเป็นที่นิยมใช้ตั้งแต่ในครัวเรือนไปจนถึงระดับอุตสาหกรรมเลยทีเดียว เพราะปั๊มลมชนิดนี้สามารถใช้งานได้ตั้งแต่แบบแรงดันต่ำ - สูง และแรงดันของปั๊มลมจะขึ้นอยู่กับชนิดปั๊มลมในการทำงาน เช่น การทำงานแบบอัดขั้นตอนเดียว (Single Stage)  สร้างแรงดัน 8-10 บาร์ และการทำงานแบบอัดสองขั้นตอน (Two Stage) สร้างแรงดัน 12-15 บาร์ เป็นต้น

ที่นี้เพื่อนๆบางคนอาจจะสงสัยว่า Single Stage และ Two Stage มาดูต่อกันเลย

1.ปั๊มลมแบบ Single Stage จะดูดอากาศเข้าไปในกระบอกสูบและจะเกิดการถูกบีบอัดด้วยลูกสูบเพียงหนึ่งครั้ง ดังนั้นอากาศจึงถูกบีบอัดเพียงครั้งเดียวจากนั้นจึงเดินทางไปยังถังลม

2.ปั๊มลมแบบ Two Stage จะมีการบีบอากาศสองครั้ง ดังนั้นมันจึงได้รับแรงดันสูงกว่าแบบ single-stage แม้ว่าอากาศอัดที่ถูกบีบอัดแล้วในครั้งแรกจะวนกลับเข้ากระบอกสูบอีกลูกเพื่อทำการบีบอัดในครั้งที่สองก่อนที่จะถูกนำไปเก็บที่ถังลม



 

หลักการทำงานของปั๊มลมแบบลูกสูบ

ปั๊มลมชนิดนี้นิยมใช้มอเตอร์ไฟฟ้าเป็นต้นกำลังมาขับเคลื่อนลูกสูบให้เคลื่อนที่ในแนวดิ่ง ทำให้เกิดการดูดอัดภายในกระบอกสูบในขณะการดูดอากาศ ลิ้นวาล์วช่องดูดจะเปิดออกเพื่อดึงอากาศเข้ามาในกระบอกสูบ จากนั้นเมื่อถึงช่วงการอัดอากาศ ตัวลูกสูบจะดันอากาศออกที่ทางลมออก ทำให้ลิ้นวาล์วทางลมออกเปิด ดั้งนั้นเมื่อลูกสูบของปั้มลมขยับขึ้นลงอย่างต่อเนื่อง จึงเกิดการดูดและอัดอากาศขึ้นโดยมีวาล์วทางด้านดูดและวาล์วทางออกทำงานสัมพันธ์กัน

1.ปั๊มลม(1st.)จะอัดอากาศจากกระบอกสูบ และส่งไปยังถังเก็บลม

2.ปั๊มลม(2st.) จะอัดอากาศทั้งหมด 2 ครั้งโดย เป็นการอัดอากาศจากกระบอกสูบที่ 1 ไปสู่กระบอกสูบที่ 2 เพื่อให้มีแรงดันที่สูงขึ้นและส่งไปยังถังลม




ชนิดของปั๊มลมลูกสูบในตลาดประเทศไทย มีอยู่ 2 ชนิดด้วยกัน

1.แบบขับตรง หรือ direct driven คือปั๊มลมที่มีหัวปั๊มติดกับมอเตอร์ ราคาประหยัด เหมาะกับผู้เริ่มต้นใช้งาน มีขนาดเล็ก น้ำหนักเบา ขนย้ายง่าย ทำลมได้เร็วแต่ข้อเสียของปั๊มลมชนิดนี้คือเสียดังมาก ดังแบบแทบคุยกันไม่รู้เรื่องเลยทีเดียว อาจจะรบกวนชุมชนรอบข้างได้ ถ้าใช้งานเป็นระยะเวลานาน และในระยะยาวจะมีการสึกหรอเร็วกว่าแบบขับด้วยสายพาน เนื่องจากใช้รอบสูง ข้อจำกัดอีกประการคือ มีขนาดไม่เกิน 3 แรงม้า หากใครต้องการแรงม้าที่มากกว่านี้คงต้องมองหาปั๊มลมแบบอื่นใช้กันแทน

2.แบบขับด้วยสายพาน belt driven เป็นปั๊มลมที่ มีสายพานต่อระหว่างมอเตอร์กับหัวสูบ ใช้สายพานเป็นตัวขับ มีตั้งแต่ขนาด 1/4 แรงม้าไปจนถึง 30 แรงม้า และยังมีถังพักลมขนาด 60 - 800 ลิตรให้เลือกใช้งานกันเลยทีเดียว ปั๊มลมชนิดนี้จะใช้รอบเครื่องต่ำ เสียงไม่ดังมากจนเกินไป มีความทนทานสูง มีอายุการใช้นานแต่มีข้อดีก็ต้องมีข้อเสียเช่นกัน  ปั๊มลมชนิดนี้คือมีขนาดใหญ่กว่าปั๊มลมแบบขับตรงอาจจะกินพื้นที่มากขึ้น และมีราคาที่สูงกว่าปั๊มลมแบบขับตรงอย่างเห็นได้ชัด

สรุปก็คือ ถ้าใช้แบบนานๆใช้ที ใช้ภายในบ้าน เลือกแบบขับตรงจะเหมาะสมกว่า แต่ถ้าใช้งานหนักใช้ประจำแบบต้องต่อเนื่อง อย่างเปิดอู่รถยนต์ ทำงานเกี่ยวกับเฟอร์นิเจอร์งานอุตสาหกรรมต่าง แนะนำให้ใช้แบบสายพานจะดีกว่า

พอเลือกชนิดของปั๊มลมได้แล้วเราก็ต้องดูชนิดของมอเตอร์กันด้วยนะ ซึ่งมอเตอร์ที่ใช้ในประเทศไทยมีอยู่ 2 ชนิด




1.มอเตอร์ 2 สาย หรือ เฟสเดียว 220 V. (ไฟบ้าน)

แน่นอนว่ามอเตอร์แบบ 2 สายนั้น ใช้งานได้สะดวกกว่าอย่างแน่นนอน แค่เสียบปล๊กก็ใช้ได้ทุกที่ แต่ก็มีข้อเสียมากเช่นกัน

1.ใช้กระแฟไฟฟ้าสูงกว่ามอเตอร์แบบ 3 สายในขณะที่ใช้ปั๊มลมแบบเดียวกัน

2.สายไฟกินไฟมากว่า บางบ้านอาจมีปัญหาไฟตกเวลาเดินปั๊มลมได้

3 ทนทานน้อยกว่ามอเตอร์ 3 สาย

4. ปํ๊มลมที่ใช้มอเตอร์ 2 สายมีขนาดใหญ่สุดเพียง 5 แรงม้า

แต่อย่าพึ่งมองว่ามอเตอร์ 2 สายไม่ดีไปซะหมดถ้าใช้งานไม่เยอะ ใช้งานในบ้านก็สามารถใช้มอเตอร์แบบ 2 สาย หรือ เฟสเดียว 220 V. ได้สบายๆ มีข้อควรระวังนิดนึงก็คือ ไม่ควรใช้ปั๊มลมที่มีขนาดเกิน 3 แรงม้า  ถ้าต้องใช้ถึง 5 แรงม้า ต้องดูมิเตอร์ไฟว่าเป็นรุ่น 15/45 ขึ้นไป และต้องตั้งเครื่องใกล้เมนเบรกเกอร์ให้มากที่สุด เพื่อป้องกันปัญหาไฟตก


2.มอเตอร์ 3 สาย หรือ สามเฟส 380 V. (ไฟโรงงาน)

สังเกตุได้ง่ายๆว่าบนตัวมอเตอร์จะมีแต่ขั้วต่อสาย ไม่มีตัวคาปาซิเตอร์กลมๆติดอยู่ ปั๊มลมที่ใช้มอเตอร์ 3 สาย
ข้อดีของมอเตอร์ 3 สายคือ

1.ใช้กระแสไฟฟ้าน้อยกว่าแบบมอเตอร์ 2 lkp

2. มีความทนทานสูง

3.สามารถเลือกใช้กับปั๊มลมได้หลากหลายขนาด

ถึงมอเตอร์แบบ 3 จะดูดีกว่าเป็นส่วนใหญ่ แต่ปัญหาหลักๆของมอเตอร์ชนิดนี้ คือ หาที่ๆมีไฟฟ้า 3 เฟสไม่ค่อยได้จึงใช้ตามโรงงานเป็นส่วนใหญ่

 



การเลือกปริมาณการผลิตลมให้พอเหมาะในการใช้งาน

หน่วยวัดการผลิตลมของปั๊มลมส่วนใหญ่จะวัดกันเป็น ลิตร/นาที หรือลูกบาศเมตร/นาที หรือลูกบาศฟุต/นาที ฯลฯ จริงๆแล้วเราสามารถดูป้ายที่ป้ายกำกับที่ปั๊มลม (name plate) โดยดูกำลังผลิตลมที่ free air displacement (FAD) ได้เลย ซึ่งจะสัมพันธ์โดยตรงกับหัวปั๊ม(flow)ขนาดและตัวเครื่อง แล้วที่นี้เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเราต้องใช้มอเตอร์กี่แรงม้า? จริงๆแล้วเราสามารถไปดูที่อุปกรณ์ที่เราใช้งานคู่กับปั๊มลมได้นั่นเอง ซึ่งตัวอุปกรณ์ก็จะบอกอยู่แล้วว่า เครื่องมือชนิดนี้ควรใช้ลมเท่าไหร่ในการใช้งาน



 

การเลือกแรงดันลมให้เหมาะสมในการใช้งาน

แรงดันลมมีหน่วยเป็น bar หรือ กก./ตารางเซนติเมตร, psi หรือ ปอนด์/ตารางนิ้ว ซึ่งมีบอกที่ฉลากข้างเครื่องเช่นกัน หลายคนอาจจะเข้าใจผิดได้ว่า แรงม้ากับแรงดันลมมันคืออันเดียวกัน จริงๆแล้วไม่ใช่นะเช่น ปั๊มลม 15 แรงม้าทำแรงดันได้ 8 bar ปั๊มลม 1 แรงม้าก็ทำแรงดันได้ 8 barเช่นกันป้ายกำกับที่ปั๊มลม (name plate) จะบอกแรงดันที่ปั๊มลมผลิตได้ หรือดูได้จากมาตรวัดแรงดัน (pressure gauge) เวลาปั๊มลมปั๊มจนเต็มถังแล้ว เข็มชี้ที่เลขอะไรจะเป็นแรงดันของปั๊มลมเครื่องนั้น ที่นี้ใครหลายคนก็อาจจะคิดว่าแรงดันลมเยอะๆยิ่งดี ส่งลมได้ไกล ใช้งานกับสายลมยาวๆได้ แต่ ปั๊มลมที่แรงดันสูงๆก็มีข้อเสียใหญ่ตามมาเช่นกัน คือเปลืองไฟ สึกหรอง่าย เสียงดังและที่สำคัญมีราคาสูงนั่นเอง ยังไงก่อนที่เราจะเลือกซื้อก็ควรดูรูปแบบการทำงานเป็นหลักจะทำให้สามารถเลือกแรงดันขนาดที่เหมาะสมได้ เช่น กาพ่นสีก็ใช้ 3-4 bar บล็อกลมก็ใช้ 7-8 bar เครื่องตัดแก๊ส ตัดเลเซอร์ ก็ใช้ 10-12 bar ฯลฯ




ขนาดของถังลม

ถังลมนั้นเอาไว้ใช้เก็บลม ทรงที่นิยมใช้ในบ้านเราจะเป็นทรงแบบแนวนอน แต่บางประเทศก็นิยมใช้แบบแนวตั้งขึ้นอยู่กับความชอบ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับความสามารถในการทำลมแต่ประการใด และถังใหญ่มีข้อดีคือใช้เก็บลมได้นานกว่า มากกว่านั่นเอง แต่ถึงจะเก็บลมได้มากกว่า ทำให้ปั๊มลมได้พักเครื่องนานกว่า ไม่ต้องสตาร์ทบ่อยๆ ดูเหมือนจะช่วยประหยัดไฟ ข้อเสียก็มีเช่นกัน มีราคาสูง มีโอกาสผุรั่วได้ง่ายกว่าถังลมขนาดเล็ก เคลื่อนย้ายลำบาก

สรุปแบบสั้นๆก็คือถ้าใครต้องทำงานที่เคลื่อนย้ายบ่อย เป็นรถ services เป็นช่างรับเหมาะ ควรจะเลือกใช้ถังลมที่มีขนาดเล็กพกพาออกนอกสถานที่ได้ แต่ถ้าไม่ต้องขนย้ายบ่อยตั้งอยู่กับที่ก็สามารถเลือกถังลมขนาดใหญ่มาใช้งานกันได้เลย




ประเภทของปั๊มลมมีอยู่ 2 ประเภท คือแบบใช้น้ำมันกับไม่ใช้น้ำมัน

ปั๊มลมลูกสูบมีโครงสร้างคล้ายๆกับเครื่องยนต์ จำเป็นต้องมีการหล่อลื่น ซึ่งก็คือการใช้น้ำมันเครื่องนั่นเอง ทำให้ลมที่ได้อาจจะมีละอองน้ำมันปะปนมาบ้างแต่ในงานบางประเภทต้องการลมสะอาดจึงมีการผลิตปั๊มลมชนิดไม่ต้องมีน้ำมันหล่อลื่น (Oil-Free) ออกมา และแน่นอนว่า เมื่อโลหะไม่มีสารหล่อลื่นจะทำให้ความร้อนสูง สึกหรอเร็ว  ดั้งนั้นปั๊มลมแบบ Oil-Free จะทำงานที่รอบต่ำ และต้องใช้วัสดุที่มีความฝืดต่ำ เป็นส่วนประกอบตัวเครื่อง จึงทำให้มีราคาที่สูงกว่านั่นเอง

สรุปแบบง่ายๆถ้าใครใช้งานแบบปกติไม่ได้ต้องการลมที่สะอาดอะไรมาก เช่น พวกงานรับเหมาะ งานช่าง งานยนต์ ก็สามารถใช้ปั๊มลมแบบใช้น้ำมันปกติได้เลย แต่ถ้าต้องการลมที่มีความสะอาด ใช้งานกับพวกอาหาร ยา เคมีภัณฑ์ หรืองานทันตกรรมเนี้ยเลือกปั้มลมแบบ ไม่ใช่น้ำมันจะดีกว่านั่นเอง

 

เอาล่ะครับก็จบกันไปแล้วกับหัวข้อ การเลือก ปั้มลมลูกสูบ ให้เหมาะสมกับการใช้งาน ค่อนข้างยาวกันเลยทีเดียว แต่ทาง Puma Air compressor Thailand เชื่อว่าข้อมูลนี้จะมีประโยชน์มากๆในการช่วยเพื่อนๆ เลือกซื้อปั๊มลมอย่างแน่นอน รู้อย่างนี้แล้วเช็คลิสต์ปั๊มลมที่เหมาะกับเพื่อนๆ มาที่้ร้าน ธีรวัฒน์เครื่องอัดลมกันได้เลย เรามีปั๊มลมมากมายหลายขนาดให้ลองใช้งาน บริการก็ดีอะไหล่ไม่เคยขาย ประกันก็ยาวนานถึง 1 ปีเต็มแอบกระซิบบอกแต่ถ้าลงทะเบียนสินค้าผ่าน Application TIM มีสิทธิพิเศษเพิ่มเติมตามเงื่อนไขของบริษัท ส่วนคุณภาพของสินค้าก็แจ่ม เพราะปั๊มลมพูม่าเป็นปั๊มลมคุณภาพจากไต้หวัน Made in Taiwan กันเลยทีเดียว รู้อย่างนี้แล้วเวลานึกถึงปั๊มลมอย่าลืมนึกถึง Puma Air compressor Thailand กันนะครับ


ช่องทางการติดต่อ

Line Official: @pumathailand

Tel: 02-225-2331